6C ไลฟ์สไตล์สาวเมืองที่นักการตลาดด้านความงามควรปรับใช้

6C ไลฟ์สไตล์สาวเมืองที่นักการตลาดด้านความงามควรปรับใช้

Convenience-สะดวก ง่าย ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ผู้บริโภคจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาให้กับเค้าได้มากที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำได้หลายหน้าที่ในตัวเดียว หรือพกพาสะดวกจะช่วยตอบโจทย์ให้กับสาวๆ ในเมืองได้เป็นอย่างดี ในแง่ของการเลือกสื่อก็เช่นเดียวกัน เนื้อหาและวิธีการนำเสนอที่ชัดเจน ตรงประเด็น และเข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้หรือแชร์ต่อได้อย่างง่ายดายจะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น และเนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่คอนเน็ตอินเทอร์เน็ตทั้งวันและทุกวัน เมื่อพวกเธออยากรู้ข้อมูลอะไรก็จะหาข้อมูลจากช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทั้งแอพพลิชั่น ออฟฟิเชียลแอคเคาน์ของแบรนด์และอื่นๆ ในเวลาเดียวกันมากกว่าการเบราซ์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาข้อมูลสนองตอบความต้องการและความรู้ให้มากที่สุด ส่วนช่องทางที่ผู้บริโภคจะเข้าถึงแบรนด์ได้นั้น จะต้องทำให้ง่าย มีความชัดเจน ค้นเจอทันทีที่ต้องการ ไม่เกิน 3สเต็ป มีความเรียลไทม์และผูกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้มากที่สุด ใช้ภาพและวีดีโอสื่อถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เช่นบิวตี้ทริป, ฮาวทูเป็นสเต็ปง่ายๆ รีวิวผลิตภัณฑ์คำแนะนำต่างๆ ที่เข้าใจง่าย รวมถึงการเชื่อมโยงออนไลน์กับออฟไลน์ Engage เข้าด้วยกัน สำคัญจะต้องไม่ซับซ้อนและวุ่นวายกับผู้บริโภคจนเกินไป

Content-เนื้อหาของแบรนด์ ในยุคที่Content is a king distribution isa queen การสร้างเนื้อหาของแบรนด์ในการสื่อสารนั้นมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคนี้ที่อินเตอร์เน็ตมีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค และที่สำคัญคือการมาถึงของทีวีดิจิตอล สาวในเมืองเลือกที่จะเข้าหาเนื้อหาต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมายด้วยตัวเอง หากแบรนด์และรายการต่างๆ มีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของพวกเธอ ไม่ว่าช่องทางไหน พวกเธอก็จะตามหาคอนเทนต์ที่ต้องการจนเจอ การสร้างเนื้อหาที่ดี โดนใจไม่เพียงแต่จะเป็นแม่เหล็กดึงผู้บริโภคให้เข้าหา แต่จะทำให้เกิดการบอกต่อ (share) ได้อีกด้วย และการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่มาจากคอนเทนต์ที่ดีเสมอไปแต่อยู่ที่ข่องทางด้วย โดยแบรนด์ต้องศึกษาการใช้สื่อของกลุ่มเป้าหมายและใช้สื่อให้ครอบคลุมเพื่อเข้าถึงทุกทัชพอยต์

Conversation การสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ เนื่องจากความงามเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับผู้หญิง แบรนด์ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนได้พูดคุยตอบโต้กับแบรนด์ หรือที่เรียกว่าการสื่อสารแบบสองช่องทาง (two-way communication) เพราะจะทำให้แบรนด์ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ลดโอกาสที่จะถูกพูดถึงในแง่ลบ และยังรวมถึงการเพิ่มโอกาสที่จะสามารถสร้างความมั่นใจจากผู้บริโภคได้อีกด้วย

Collaboration การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ นอกจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว ผู้บริโภคคนเมืองยังมองหาความรู้สึก exclusivity ที่พวกเธอจะได้รับจากแบรนด์อีกด้วย หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกันออกแบบผลิตภัณฑ์ระหว่างแบรนด์ หรือcollaboration เช่นการร่วมมือกับดีไซน์เนอร์ดีไซน์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากชื่อเสียงของแบรนด์ต่างๆ ที่มาร่วมกันออกแบบ วิธีการนี้เองจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคในเมืองได้เป็นอย่างดี เพราะจะทำให้เค้ารู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น และอยากจะมีไว้ในครอบครอง

Co-creation ร่วมคิด ร่วมสร้าง เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จะทำให้สามารถสะท้อนสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาได้เป็นอย่างดี และยังทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นอีกด้วย และเมื่อสามารถทำให้เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้ จะช่วยสร้าง brand loyalty จากการที่ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ และยังทำให้เกิด brand engagement มากขึ้นอีกด้วย

Customization ผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองเป็นอย่างมาก และจะมองหาผลิตภัณฑ์หรือประสบการณ์ที่สร้างความพิเศษและแตกต่าง (unique) ให้กับเค้า ผลิตภัณฑ์หรือเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ (customization) เป็นเสมือนกับลายนิ้วมือ ซึ่งจะไม่ซ้ำกับคนอื่น ในแง่ของผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อให้เหมาะสมกับเค้าโดยเฉพาะย่อมทำหน้าที่ของมันได้ดีกว่า ส่วนในแง่ของการบริโภคสื่อก็จะเป็นการที่ผู้บริโภครู้สึกถึงความใส่ใจและใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นนั่นเอง

ที่มา : มายด์แชร์,กรกฏาคม 2557